จากกรณี "จนทิพย์" ที่กลายเป็นเรื่องราววิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการบริจาคเงิน และเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้ผู้ใจบุญหลายคนศึกษาให้ดีก่อนที่จะช่วยเหลือ เนื่องจากยังมีคนที่ลำบากและยากจนอีกมากที่มักถูกสวมรอยโดยผู้ไม่ประสงค์ดี

    ในบ้านเช่าเล็กๆ โทรมๆ มีแค่ 1 ห้องนอน บนถนนกันตัง ต.บางรัก อ.เมืองตรัง จ.ตรัง เป็นร้านรับซักอบรีดของสองแม่ลูก น.ส.มลิวรรณ ไพริน หรือ แม่นา อายุ 49 ปี และ น.ส.กัลยา ตันเองฉ้วน หรือ น้องแนน อายุ 18 ปี รวมถึงพ่อเลี้ยงที่เพิ่งย้ายมาในภายหลังเป็น 3 ชีวิต

    ฐานะครอบครัวของน้องแนนขัดสน แม่รับจ้างรีดผ้า และเป็นแม่ค้าผลไม้ซึ่งช่วงนี้ก็ออกไปขายไม่ได้ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทั้งค่าเช่าบ้านเดือนละ 1,800 บาท ค่าผ่อนรถยนต์กระบะที่ใช้ขายผลไม้เดือนละ 6,000 บาท ส่วนที่คงเหลือไม่ถึงสามพัน เป็นเงินที่ใช้สำหรับการกินอยู่ภายในครอบครัว น้องแนนเองก็ต้องมาช่วยแบ่งเบาภาระแม่ด้วย

    สำหรับ น.ส.กัลยา ตันเองฉ้วน หรือ น้องแนน นั้นเป็นเด็กเรียนดีมาก จบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 เกรดเฉลี่ย 3.97 และสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตามโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ศูนย์ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่

    แม้ฐานะครอบครัวจะยากลำบาก แต่เด็กหญิงคนนี้ก็ไม่ย่อท้อ ดิ้นรนกู้เงิน กยศ. และตั้งใจสอบชิงทุนเพื่อสานฝันตัวเองให้ได้ โดยจะต้องจ่ายค่าเทอมก่อนเข้าเรียน 30,000 บาท ไม่รวมค่าหอพัก ซึ่งยังไม่มี

    น้องแนนกล่าวว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเป็นหมอ เพราะคุณพ่อแท้ๆ ที่ไม่อยู่แล้ว ช่วงที่พ่อกำลังรักษาอยู่ ได้คุยกับคุณหมอถึงอาการของพ่อ แต่ก็ไม่เข้าใจ จึงได้หาข้อมูลเอง และเกิดความคิดอยากเป็นหมอ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้เขามีโอกาสได้มีชีวิตที่ดี

    ขณะที่แม่ของน้องแนน กล่าวเสริมว่า ตนจะหาทางให้ลูกได้เรียนหมอให้ได้ โดยหวังว่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือน้องในการประสานงานหาทุนการศึกษา เพราะลูกมีความตั้งใจ เรียนได้ที่ 1 ของห้องมาตลอด และตนก็จะขอจากพี่ๆ ต่างพ่อ เพื่อให้ช่วยเหลืออีกทางด้วย

ที่มา : thairath