บนโลกใบนี้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย และเมื่อไม่นานมานี้เองก็มีหนุ่มจีนรายหนึ่งที่เผลอกลืนนกหวีดเข้าไปในลำคอตอนเด็ก และเขาก็ปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้นตลอด 20 ปี เนื่องจากไม่กล้าบอกใครกลัวพ่อแม่ดุ 

    สื่อนอกเผยว่า ได้เกิดเรื่องราวสุดแปลกของชายชาวจีนรายหนึ่ง แซ่หลิน อายุ 26 ปี จากเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง โดยเขาเล่าว่าเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ เขาเผลอกลืนนกหวีดที่ติดอยู่กับของเล่นหลุดลงคอโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความเป็นเด็ก กลัวว่าพ่อแม่จะดุว่าเอา นายหลินจึงไม่ยอมบอกให้พ่อและแม่ และคนอื่นๆ ให้รับรู้เลย เขาเก็บเรื่องนี้เงียบมาตลอด 20 ปี โดยที่ปล่อยให้มันอยู่ในร่างกายแบบนั้นเรื่อยมา  

    หลินป่วยด้วยโรคปอดบวมและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่งอยู่หลายครั้ง จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขานึกขึ้นได้ว่า ต้นเหตุที่แท้จริงอาจจะมาจากสิ่งแปลกปลอมที่เขากลืนลงคอไป นายหลินจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวความจริงเรื่องนกหวีดให้กับทางแพทย์ฟัง แต่ไม่ว่าหมอจะตรวจร่างกายอย่างไรก็ไม่พบ นกหวีดที่ว่านั้นในร่างกายเขาอยู่ดี 

    หลังจากนั้น นายหลินจึงตัดสินย้ายโรงพยาบาลไปอีกแห่ง แพทย์ได้ตรวจเอกซเรย์หลอดลมอย่างละเอียด จนในที่สุดก็พบว่า สิ่งแปลกปลอมนั้นไปติดอยู่ที่หลอดลม ดร.หลิว เนี่ยน แพทย์ที่ทำการรักษาได้ทำการส่องกล้องตรวจหลอดลม แต่ไม่สามารถดึงเอามันออกมาได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัด ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มีความเสี่ยง ต้องระมัดระวังอย่างมากเพื่อให้ได้รับความเสียหายน้อยที่สุด

    หลังจากที่ผ่าออกมาแล้ว แพทย์เผยว่า เนื่องจากนกหวีดมีสีดำ และรูปร่างคล้ายกับหลอดลมทำให้ยากต่อการหา แต่โชคดีที่ในที่สุดก็หามันเจอ และสามารถเอามันออกมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งนกหวีดดังกล่าวมีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร หลังจากพักรักษาตัว นายหลินรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่มีการหายใจถี่และพูดไม่ค่อยชัด เขารู้สึกขอบคุณทีมแพทย์เป็นอย่างซึ้งใจ รวมทั้งรู้สึกเสียใจและขอโทษพ่อแม่ที่ปกปิดความจริง

    ภายหลังเรื่องราวของเขาก็ถูกเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ของจีนและกลายประเด็นแปลกที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากชาวโซเชียลจีน ทำให้หลายคนตระหนักถึงประเด็นเรื่องการเลี้ยงลูกของผู้ปกครองว่าไม่ให้เข้มงวดกับเด็กมากเกินไป เพราะอาจจะจะทำให้พวกเขากลัวจนไม่กล้าบอกความจริง ซึ่งบางกรณีอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ซึ่งก็มีชาวเน็ตออกมาเตือนว่า "การเก็บวัตถุในร่างกายเป็นเวลาหลายปีนั้นอันตรายมาก ผู้ปกครองควรหาวิธีสื่อสารกับเด็ก ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้"

      หวังว่าผู้ปกครองทั้งหลายคงให้ความสำคัญสำหรับเรื่องการเลี้ยงดูเด็กให้มาก สำหรับเคสนี้ถือว่ายังโชคดีที่ไม่ถึงแก่ชีวิต หวังว่าจะไม่เคสแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยนะคะ

ที่มา: 163