"หนูจะไปเกาหลี แต่ไม่ลืมเมืองไทย" ย้อนฟัง ครูก้อยเล่าถึง "ลิซ่า" วิถีซุปตาร์ไทยในเกาหลีที่ต้องสตรอง

คอมเมนต์:

น่ารักมากค่ะ เด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

        ครูก้อย-สุภาพรรณ ผลากรกุล แห่ง Krukoy Vocal Studio คุณครูสอนร้องเพลงและการใช้เสียงในการแสดงที่มีลูกศิษย์เป็นคนดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกอล์ฟ-ไมค์, ชิน-ชินวุฒ, แต้ว-ณฐพร, มาริโอ้, ต่อ-ธนภพ, นน-ชานน และออกแบบ-ชุติมณฑน์ 

        รวมไปถึงศิลปินไทยที่โกอินเตอร์ระดับโลก อย่างแบมแบม GOT7 และสาวน้อยมหัศจรรย์คนล่าสุด ลิซ่า BLACKPINK ที่วันนี้ทีมงานได้ขอให้ครูก้อยเล่าถึงความพยายามและความตั้งใจจริงของเธอ

 

Sponsored Ad

 

ฉันจะไปเกาหลี

        ครูก้อยเล่าถึงความประทับใจเมื่อวันแรกเจอลูกศิษย์คนเก่ง “เจอกันวันแรกที่ลิซ่ามาเรียน ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 13-14 ปี เป็นเด็กร่าเริง สดใส หน้ายิ้มตลอดเวลา ตัดผมหน้าม้า รัดหางม้าสูง ตัวเล็ก แขนขายาว แล้วยังใช้ชื่อว่า ป๊อกแป๊ก (ภายหลังเปลี่ยนชื่อก่อนไปเกาหลีว่าลลิซ โดยคุณป้าเป็นคนเปลี่ยนให้) 

 

Sponsored Ad

 

    ลิซ่าเป็นเด็กมีพลังมาก ตอนนั้นมาเรียน สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละหนึ่งชั่วโมง แต่ในชั่วโมงนั้นเขาตั้งใจเรียนมาก ไม่เคยแสดงอาการให้เห็นว่าเหนื่อยมาจากโรงเรียนหรือจากการเดินทางเลย แล้วเขาก็จะมาพร้อมแฟ้มใส่เนื้อเพลงของตัวเอง หน้าปกเป็นศิลปินเกาหลีที่เขาชอบ แล้วพูดเสียงงุ้งงิ้งว่า หนูจะไปเกาหลีๆ 

    ร้องเพลงไปสักพักก็พูดอีก ตอนนั้นครูก็คิดว่า ฝันไกลไปหรือเปล่าลูก แต่ไม่อยากพูดทำลายความฝันของเขา ก็จะพยายามตัดบทว่าวอร์มเสียงก่อนๆ ซึ่งพอถึงเวลาเรียนจริง เขามีความกระตือรือร้นมาก เหมือนกับมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่รัก

 

Sponsored Ad

 

        “ลิซ่าเรียนกับครูได้ระยะหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวไปออดิชั่น ซึ่งค่าย YG มาจัดที่เมืองไทย จึงเจอกันถี่กว่าเดิม แล้วเขาจะซ้อมทุกวันที่มีโอกาส นอกจากนี้ครูจะมีการบ้านให้เขากลับไปทำ เรียกว่าโชคดีที่ลิซ่าเรียนเต้นมาตั้งแต่ 7-8 ขวบ ผ่านการประกวดมาบ้าง เราก็จะไม่ห่วงเรื่องเต้น ส่วนเรื่องร้องเพลงเขาตั้งใจมากอยู่แล้ว ฟังเพลงเยอะ ทำการบ้านส่งตลอด แล้วตีโจทย์ของเพลงแตก จึงง่ายสำหรับครูที่จะสอน 

 

Sponsored Ad

 

        อย่างตอนไปออดิชั่นต้องร้องเพลงสากล ครูก็เตรียมให้เขาสองเพลง เป็นเพลงช้าและเพลงเร็ว ซึ่งเขาถนัดร้องแนวอาร์แอนด์บีและเพลงป็อปที่เป็นตัวเขา เน้นเพลงเร็ว จังหวะสนุกๆ ไปเลย แต่ค่ายขอให้ร้องทั้งเพลงช้าและเพลงเร็ว เพื่อดูศักยภาพในการร้องเพลงว่าพลังเสียงในการร้องเป็นอย่างไร ดูแล้วสนุกไหม รวมๆ แล้วคือดูว่าถนัดทั้งสองทางหรือเปล่า

        “ซึ่งพัฒนาการของเขาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ไปออดิชั่นดีขึ้นเยอะ เสียงแข็งแรงขึ้น อาจเป็นเพราะเขามีพลังในการเต้น จึงมีแรงเหลือในการร้องเพลง สิ่งที่ต้องปรับปรุงในเวลานั้นคือเพิ่มความรู้สึกในการร้อง เพราะโดยมากคนที่จะไปประกวดหรือออดิชั่น จังหวะต้องเป๊ะ ทำนองไม่เพี้ยน เขาก็ทำได้หมด 

 

Sponsored Ad

 

        เหลืออย่างเดียวคือร้องให้มีอินเนอร์ โดยเฉพาะเพลงช้าต้องมีเสียงหนัก เบา สั้น ยาว ส่วนเวลาร้องเพลงเร็วก็ต้องสนุก ให้คนดูแล้วยิ้มตาม ซึ่งตอนที่ลิซ่าซ้อม เขาซ้อมเหมือนกำลังขึ้นเวทีจริงๆ ท่าทางการเต้นและการร้องเต็มที่มาก ออกมาดูดีมากเลย ไม่รู้ว่าเข้าข้างลูกศิษย์หรือเปล่า แต่ก็เดาไม่ถูกว่าค่ายจะเลือกไหม

 

Sponsored Ad

 

        “ช่วงที่ฝึกเขาไม่เคยแสดงให้เห็นเลยว่าท้อหรือเหนื่อย จะว่าไปครูไม่เคยเห็นอาการอย่างนั้นจากลิซ่าเลย ให้ทำอะไรก็อยากทำไปหมด เช่น สั่งให้เขาร้องเพลงเร็วแล้วเต้นไปด้วยก็ทำได้ ไม่เคยบ่น กระทั่งถึงวันที่ไปออดิชั่น วันนั้นครูไม่ได้ไปด้วย แต่จำได้ว่าตอนนั้นเขาตัดผมสั้นกุดเลย 

        ครูมารู้อีกทีก็ตอนที่เขาออดิชั่นได้แล้ว เขากรี๊ดใหญ่เลยว่าได้แล้วๆ ส่วนครูแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ยังถามกลับไปว่าเขาเลือกกี่คน แล้วเขาจะส่งกลับระหว่างทางหรือเปล่า (หัวเราะ) ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อะไรนะ คือตื่นเต้นกับทึ่งในตัวลูกศิษย์มาก” (ครูลากเสียงยาวด้วยความปลื้มใจ)

Sponsored Ad

        หลายคนต้องทิ้งความฝันไว้ข้างหลัง เพราะทนไม่ไหวกับความเหนื่อยยาก หรือความเลื่อนลอยเกินกว่าจะทำใจเฝ้ารอ แต่ครูก้อยบอกว่าลิซ่าต้องอดทนกับการฝึกหัดนานถึง 6 ปีกว่าจะได้นามสกุล BLACKPINK มาครอง

        “การไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีถือเป็นเรื่องหนัก เท่าที่ครูรู้คือต้องฝึกทุกวัน ในหนึ่งสัปดาห์จะหยุดแค่วันเดียว เด็กทุกคนต้องเข้าคลาสเรียนร้องและเต้น เวลาที่เหลือหลังจากนั้นต้องฝึกซ้อมกันเอง ไม่ได้มีครูฝึกให้ตลอด เลิกประมาณ 4-5 ทุ่ม ทุกวัน เพราะฉะนั้นความอดทนต้องมาที่หนึ่งเลย 

    นอกจากนี้ ทางค่ายจะดูพฤติกรรมของเด็กด้วยว่ามีความอดทน จริงจังไหม เข้ากับเพื่อนได้หรือเปล่า ถ้าเป็นเด็กต่างชาติ มีพัฒนาการในการพูดภาษาเกาหลีไหม แต่ลิซ่าผ่านหมดทุกอย่าง ช่วงแรกที่ไปอยู่ที่นั่นเขาต้องปรับตัวหลายอย่าง เพราะตามกฎของเขา ผู้ปกครองไม่ได้รับอนุญาตให้ตามไปอยู่ด้วย แล้วต้องพูดแต่ภาษาเกาหลีอย่างเดียว ต้องไปหาเพื่อนใหม่ ต้องลุ้นว่าจะเข้ากับเขาได้ไหม คือต้องปรับตัวในทุกๆ ด้าน

        “ช่วงระหว่างนั้นผ่านไป 2-3 ปี เขากลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทยแล้วก็เยี่ยมครู มาให้ครูวอร์มเสียงให้และมาร้องแร็พเกาหลีให้ฟัง สิ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนคือเขามีความมั่นใจมากขึ้น รู้มาว่าเขาต้องฝึกซ้อมร้องเพลงเยอะ เพราะมีการออดิชั่นทั้งร้องและเต้นตลอดเวลา คุณครูก็จะให้คะแนน เพื่อให้ศิลปินเกิดการพัฒนา 

        ซึ่งช่วงที่ลิซ่าภาษาเกาหลีไม่แข็งแรง เขาก็ฝึกหนัก เพราะถ้าภาษายังไม่แข็งก็ยังเดบิวต์ (การแสดงเปิดตัวครั้งแรก) ไม่ได้ ซึ่งจุดแข็งของลิซ่าคือมีระเบียบวินัยและมุ่งมั่นในการฝึก มีความรักและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ

        “แต่ขนาดว่าเขามีความตั้งใจสูงมากแล้ว ช่วงระหว่างรอเดบิวต์ก็มีอุปสรรคหลายๆ อย่างจนเขาท้อ เกือบจะถอดใจ เพราะเวลาผ่านไปนานมาก แต่ยังไม่ได้ออกอัลบั้มสักที ต้องรอถึง 6 ปี ลิซ่าจึงได้เดบิวต์ 6 ปีนี่คนทั่วไปเรียนจบปริญญาโทแล้วนะ เรื่องที่โหดกว่าคือคนเหล่านั้นยังได้ใบปริญญา แต่ลิซ่าอยู่ในจุดที่ไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้ออกอัลบั้มไหม อนาคตไม่แน่นอน ใจเขาจะเป็นอย่างไร แต่พอถึงวันนี้ที่บัตรคอนเสิร์ตเขาขายหมดทั้งอเมริกาและอังกฤษ กลายเป็นคนมีชื่อเสียงระดับโลก อย่างวันที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตที่เมืองไทย เห็นแฟนคลับตามรักเขาขนาดนี้ ครูเห็นแล้วปลื้มใจมาก น้ำตาจะไหล”

    ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลิซ่า ครูก้อยการันตีว่าชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วโลกยังไม่เท่ากับความน่ารักที่เป็นเนื้อแท้ของเธอ “ครูว่าที่ลิซ่ามาถึงจุดนี้ก็เพราะเขากตัญญู ถ้าปีไหนไม่สะดวกกลับมาเมืองไทย เขาจะฝากคุณแม่ถือกระเช้าปีใหม่มาสวัสดีครู อย่างล่าสุดเขาซื้อสตรอว์เบอร์รี่สดมาฝาก คุณแม่บอกว่าลิซ่ากำชับหลายรอบมากว่ารีบเอามาให้ครูนะคะ เพราะกลัวจะไม่สด หรืออย่างตอนที่เขาเดบิวต์ได้ช่วงแรกๆ ก็ส่งอัลบั้มมาให้ มีลายเซ็นสมาชิกครบทุกคน อัลบั้มล่าสุดเขาก็ส่งมาให้เสมอต้นเสมอปลาย

        “อีกเรื่องที่สำคัญคือการมีสัมมาคารวะ อย่างคอนเสิร์ตที่มาเล่นที่เมืองไทยล่าสุด ครูและพี่ๆ นักแสดงไปรอเจอหลังเวที ซึ่งตอนอยู่เกาหลี น้องจะติดตามผลงานการแสดงของพี่นักแสดงในเมืองไทยตลอด พอเขาเห็นหน้าทุกคนก็ยกมือไหว้ก่อน แล้ววิ่งมากอด 

        เขาบอกว่า ‘หนูต้องขอบคุณพี่ๆ ที่ทุกคนให้ความเมตตาหนู เพราะว่าทุกคนเป็นระดับซุป’ตาร์ทั้งนั้นเลย’ อย่างพี่แต้วที่ลิซ่าปลื้มมาก อยากเจอมาก จะคอยพูดถึงตลอดว่า ‘นาคีๆ คำแก้วๆ อยากเจอๆ’ พอเจอเขาก็เข้าไปกอด พี่ๆ นักแสดงเจออาการแบบนี้ของลิซ่าเข้าไปกรี๊ดเลย คือเขายังเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้คิดว่าฉันดังระดับโลกแล้วต้องมีฟอร์ม

        “เรื่องที่ครูประทับใจในตัวเขาอีกอย่างคือลิซ่ามีน้ำใจมาก ครั้งหนึ่งมีคนมาบอกครูว่าน้องมะลิลูกสาวแม่โบว์ และน้องฮานิ ลูกสาวโบ-สุนิตา ฝากขอลายเซ็น พอแจ้งไป ลิซ่าก็ตอบกลับมาว่า ‘ค่าครู’ ตอนนั้นครูคิดว่าลิซ่าคงส่งรูปมาพร้อมลายเซ็น แต่ปรากฏว่าเขาส่งซีดีมาทั้งอัลบั้มพร้อมเขียนด้วยว่า ขอให้เป็นเด็กดีนะคะ เด็กๆ ดีใจกันมาก (ยิ้มปลื้ม) ความน่ารักของเขาเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ อย่างเวลาจะมาเจอครู เขาจะคิดว่าหนูจะใส่ชุดอะไรดี เพราะต้องมาถ่ายรูปกับครู คำพูดติดปากเขาเวลาจะรับคำคือ…ได้ค้าบ…ครับผม…รักครูนะค้าบ เราคนฟังก็ปลื้มไปสิ

        “อีกเหตุการณ์ที่ประทับใจในสปิริตของเขาคือช่วงที่เปิดให้ประชาชนกราบพระบรมศพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ลิซ่าตั้งใจกลับมาเมืองไทยเพื่อกราบพระบรมศพพระองค์ท่านโดยเฉพาะ บอกว่ายังไงก็ต้องมา แล้วยืนกรานว่าอยากใส่ชุดไทยจิตรลดาเข้าไปในพระบรมมหาราชวังด้วย คือต่อให้เขาดังแค่ไหนก็ยังไม่ลืมว่าตัวเองเป็นคนไทยและมีความจงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9

        “วันนั้นลิซ่ากับคุณแม่ตื่นตั้งแต่ตี 4 แล้วไปเจอครูกับเดียร์น่า (เดียร์น่า ฟลีโป) ที่สนามหลวง โดยเขาต้องต่อแถวเข้าไปในพระบรมมหาราชวังและนั่งรอกับพื้นเหมือนคนอื่นหลายชั่วโมงมาก เกือบบ่ายจึงได้เข้าไปกราบพระบรมศพ พอกราบเสร็จ ลิซ่าน้ำตาซึมเลย”

ที่มา : LIEKR

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ