"โรงสีข้าวเพื่อชาวนา" งบเกือบ 9 ล้าน ใช้งานได้ 2 ครั้งพัง โดนทิ้งร้าง 20 ปี ไม่มีหน่วยงานเข้าไปดูแล
คอมเมนต์:
กลายเป็นที่หลายคนพูดถึในโลกออนไลน์อีกครั้ง หลังจาก ชาวนครพนม ได้ออกแฉโรงสีงบเกือบ 9 ล้าน ที่ใช้งานได้ไม่กี่ครั้ง ก็ถูกทิ้งร้างให้เสื่อมสภาพมา 20 ปี โดยไม่มีหน่วยงานไหนเข้าไปดูแล
เมื่อวานนี้ สำนักข่าวไทย ได้รายงานว่า ชาวบ้านที่ จ.นครพนมได้ร้องเรียนว่า มีโรงสีข้าวขนาดกำลังผลิต 40 ตันต่อวัน ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้นำมาติดตั้งให้กับสหกรณ์การเกษตร อำเภอท่าอุเทน เมื่อปี พ.ศ. 2544
Sponsored Ad
หลังจากติดตั้งเสร็จ กลับถูกทิ้งร้าง และไม่ได้ใช้งานอีกเลย เนื่องจากไม่สามารถสีข้าวได้ตามที่ต้องการ โดยนับตั้งแต่ติดตั้ง ได้เดินเครื่องได้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น และหยุดใช้งานจนถึงปัจจุบัน
Sponsored Ad
นายเรืองชัย วงษ์อุระ ประธานสหกรณ์การเกษตรท่าอุเทน เปิดเผยว่า เมื่อปี 2544 กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุน ซึ่งจังหวัดนครพนม ได้รับจัดสรรเป็นโรงสีข้าวแทนเงินทุน ทั้งหมด 3 แห่ง ซึ่งมีมูลค่าถึง 8,775,900 บาท
แต่การรับเงินอุดหนุนทั่วไปในครั้งนี้ มีเงื่อนไขว่า สหกรณ์การเกษตร หรือ โรงสีทั้ง 3 แห่งนี้ ต้องบริจาคเงินคืน เข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์ตามระยะเวลาที่กรมส่งเสริมสหกรณ์กำหนด พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 1% ต่อปี
Sponsored Ad
นายเรืองชัย ยังบอกอีกว่า หลังติดตั้งโรงสีแล้วเสร็จและเดินเครื่องทดลองครั้งแรก ได้ลองทำการสีข้าวเปลือกจำนวน 4 ตัน ปรากฏว่าสีได้ข้าวสารเพียง 150 กิโลกรัมเท่านั้น หลังจากนั้นก็ได้ลองสีข้าวเปลือกอีก 1 ตัน แต่เครื่องกลับไม่สามารถผลิตข้าวสารได้แม้แต่เม็ดเดียว
Sponsored Ad
ทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลจึงแจ้งให้ช่างที่มาติดตั้งมาแก้ไข และหลังจากนั้นไม่ได้เปิดใช้งานโรงสีดังกล่าวอีกเลย จนถึงปัจจุบันส่วนที่สหกรณ์การเกษตรท่าอุเทนก็ประสบปัญหาแบบเดียวกัน จนชาวนาไม่กล้านำข้าวเปลือกมาสีกับสหกรณ์อีก
และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาต่อมา รัฐบาลได้ออกนโยบายรับจำนำข้าว ชาวนาก็นำข้าวเปลือกไปจำนำกับโรงสีเอกชนแทน ทำให้โรงสีของสหกรณ์จึงถูกทิ้งร้างมาจนถึงปัจจุบัน
Sponsored Ad
นายเรืองชัย ยังทิ้งท้ายเอาไว้ว่า.. อยากให้เจ้าของโครงการ คือ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วยติดตามตรวจสอบว่าโรงสีอีกกว่า 191 แห่งทั่วประเทศ ตามโครงการดังกล่าว ปัจจุบันยังสามารถใช้งานได้อยู่หรือไม่ ?
ชมคลิป
คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิก <<<
ที่มา : สำนักข่าวไทย