หนุ่มจบป.โท ขอหันหลังให้เมืองกรุง กลับบ้านนอก ใช้เงินเดือนละ 2 พัน ไม่ซื้อรถ-เสื้อผ้าใหม่ แต่มีความสุขทุกวัน
คอมเมนต์:
หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ
เว็บไซต์ต่างประเทศรายงานว่า "โม เฮ่า กวาง" เรียนจบการศึกษาจากภาควิชาครุศาสตร์มหาวิทยาลัยฮ่องกง และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงแบ๊บติสต์
แต่หลังจากที่เขาจบการศึกษาแล้ว เขากลับไม่ได้เลือกทำงานในเมืองหลวงเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่เขากลับเลือกเดินทางออกจากตัวเมือง เพื่อยึดอาชีพเกษตรกรกับภรรยา ลูกชาย 1 คน ใช้ชีวิตเรียบง่ายใกล้ชิดกับธรรมชาติ
Sponsored Ad
รายงานระบุว่า เป็นเวลา 13 ปีที่ "โม เฮ่า กวาง" ไม่ได้ซื้อชุดใหม่ และไม่ได้คิดที่จะซื้อบ้านหรือซื้อรถ ค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัวสามคนแค่เพียง 2,000 บาท โดยหลังจากมีลูก ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นอีกแค่ 100 - 200 บาทต่อเดือนเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายในฮ่องกง เมืองที่ถูกจัดว่ามีค่าครองชีพสูงอันดับต้น ๆ ของโลก
Sponsored Ad
“เพื่อนหลายคนรอบตัว ทำงานในเมืองมาเกือบตลอดชีวิต พวกเขาต้องการซ่อนตัวจากเมืองที่วุ่นวายมาอาศัยในชนบทที่ใช้ชีวิตที่แสนสบายนี้ แล้วทำไมไม่คิดจะใช้ชีวิตตอนนี้เลยล่ะ?”
เขามีนามที่คนทั่วไปเรียกคือ “คนป่า” เพราะเขาอยู่กับไลฟ์สไตล์นี้มาประมาณ 13 ปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีชีวิตเหมือนคนในเมืองทั่วไป กระทั่งเมื่อตอนอายุ 16 ปี เขาเห็นข่าวในโทรทัศน์ว่า ตอนนี้ขยะในฮ่องกงทวีมากขึ้นกลายเป็นภูเขากองเท่าภูเขาแล้ว และเพราะภาพนั้นเองทำให้เขารู้สึกใจหายและอยากจะอนุรักษ์ธรรมชาติขึ้นมา เริ่มจากในชีวิตประจำวันมีระเบียบในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Sponsored Ad
เมื่อปี 2004 หลังเรียนจบก็ย้ายออกมาอยู่ในชนบท เป็นผู้สอนกิจกรรมธรรมชาติขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อแบ่งปันชีวิตและแนวคิดที่แตกต่างกับผู้คนในชุมชนและนำพวกเขาไปสู่ประสบการณ์และสัมผัสกับธรรมชาติ
ตอนนี้เขามีรายได้เดือนละ 10,000 ในฮ่องกงรายได้ขนาดนี้ถือว่าต่ำมากที่สุด แต่สำหรับเขาแล้วรายได้นี้พอสำหรับครอบครัวเขามาก เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้นค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 2,000 บาท ไม่รวมค่าเช่าบ้าน
Sponsored Ad
ชีวิตเรียบง่ายสำหรับพวกเขาไม่เพียงแต่จะลดความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ธรรมชาติจะมอบความสุขมากมายที่เงินทองซื้อไม่ได้ ฉะนั้นการมีเงินทองน้อย ก็สามารถมีความสุขได้
ครอบครัวของเขากินเจ ฉะนั้นข้างบ้านมีสวนเล็ก ๆ ไว้สำหรับปลูกผักกินเอง วันละ 1-2 มื้อก็จะเป็นผักที่ปลูกเอง อย่างไรก็ตามหากมีสิ่งของขาดเหลือไง พวกเขาก็จะเดินทางไปซื้อที่ตลาด แต่เขาและภรรยาจะให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับวันที่หมดอายุของสินค้าหรืออาหาร ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะพวกเราจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่างที่กำลังจะหมดอายุหรือแม้กระทั่งหมดอายุหนึ่งหรือสองวันแล้ว
Sponsored Ad
เพราะอาหารเหล่านี้หากเราไม่ซื้อมากินก็อาจจะกลายเป็นขยะไป สิ้นเปลืองมาก ที่จริงอาหารที่เพิ่งหมดอายุหรือหมดไป 1-2 วันยังสามารถกินได้ แค่ไม่ได้เป็นสินค้าที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง เขายังเก็บวัสดุของเก่ามาประดิษฐ์เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่บ้าน ในบ้านของพวกเขาไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ฉะนั้นค่าไฟต่อเดือนเพียง 30-50 บาท ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน 90% เป็นของมือสองที่เหลืออีก 10% คือนำวัสดุของเหลือที่เก็บได้มาประดิษฐ์เอง
Sponsored Ad
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายธรรมชาติ ในบ้านไม่มีน้ำยาต่าง ๆ แม้กระทั่ง น้ำยาซักผ้า น้ำยาสระผม น้ำยาล้างจาน พวกเขาใช้น้ำเปล่าเป็นหลัก และทำเอนไซม์ธรรมชาติขึ้นมาใช้เอง โดยใช้เปลือกส้ม,ของเสียจากห้องครัวและน้ำตาลเพื่อสร้างเอนไซม์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการปนเปื้อน แปรงฟันด้วยน้ำเกลือแทนยาสีฟันเมื่อคุณล้างจานคุณจะต้องเติมผงใบชาลงในน้ำเพื่อให้ได้ผลการกำจัดน้ำมันเช่นเดียวกับผงซักฟอก
สำหรับการเดินทางของพวกเขานั้นก็คือการนั่งรถบัสประจำทาง และขับจักรยาน เพราะว่าสถานที่ทำงานของเขาห่างจากบ้านไม่มาก ฉะนั้นโดยส่วนมากจะเดินไปหรือไม่ก็ขี่กจักรยานไป หากจะเดินทางไปท่องเที่ยวก็จะนั่งรถบัส
Sponsored Ad
เนื่องจากค่าใช้จ่ายในบ้านไม่ได้สูงนัก ทำให้ไม่จำเป็นต้องทำงานหาเงินมากมาย ฉะนั้นใน 1 อาทิตย์เขาทำงานเพียง 3 วัน และนอกจากนั้นก็สามารถอยู่กับครอบครัว ชีวิตแบบนี้มีความสุขมาก
เขาและภรรยารู้จักกันเพราะธรรมชาติเมื่อปี 2003 ผมรู้สึกขอบคุณที่ได้พบคู่ชีวิตคนที่มีจิตใจเดียวกัน ครั้งแรกที่พบเธอ ในตอนนั้นเธอเข้ามาเป็นนักเรียนในหลักสูตรด้านสิ่งแวดล้อม พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้น ในเวลานั้นเราไปปีนเขาและตั้งแคมป์ด้วยกัน ทำให้เราได้สัมผัสกับชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ชั้นเรียนนั้นนอกจากได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาและภรรยาด้วย เพราะทั้งคู่ปรารถนามีชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติและความคิดทั่วไปนี้ ทำให้ทั้งสองค่อย ๆ เริ่มคบหากัน เธอเหมือนเขามาก เพราะเป็นคนไม่ชอบเนื้อหารายละเอียดมากนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งคู่ยิ่งตกหลุมรักกัน พวกเขาไม่อยากไปกังวลเกี่ยวกับว่า วันเกิดต้องส่งของขวัญอะไรให้ หรือต้องเซอร์ไพรส์อะไร แต่จำได้ว่าเขามีครั้งหนึ่งเขาใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำสิ่งเซอร์ไพรส์ให้เธอ เมื่อทั้งสองความรักสุกงอมก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ในงานแต่งของพวกเขารวมแล้วใช้ไปเพียง 20,000 บาทเท่านั้น
พวกเขาแต่งงานในปี 2012 ในเวลานั้นเขากับภรรยากำลังคิดเกี่ยวกับ การจัดงานแต่งที่ในเชิงปกป้องสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและยังคงมีบรรยากาศโรแมนติกของงานแต่งงาน แล้วควรทำอย่างไรดี
หลายคนบอกว่า “การปกป้องสิ่งแวดล้อม” ก็คือไม่ต้องจัดอะไรเลย แต่เขาคิดว่านี่เป็นวิธีปฏิบัติที่ดูเกินไป งานแต่งงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงคือ เรียบง่าย มีเหตุผลและความคิดสร้างสรรค์ต่างหาก
ในงานแต่งพวกเขามีแขกมา 300 คน เราจัดงานในลานกว้างในตอนเช้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้แสงไฟ และไม่ต้องการเครื่องปรับอาการ ส่วนวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งในงานส่วนมากเป็นวัสดุจากธรรมชาติ ใบไม้ต่าง ๆ แบบเรียบง่าย ในงานแต่งไม่มีรถขบวนเจ้าสาว เขานั่งรถบัสพร้อมกับญาติพี่น้องคนอื่น ๆ ส่วนชุดสูทก็ยืมเพื่อนมา และชุดสาวก็ได้ผ้าทอผ้าขาวจากเพื่อน ในงานแต่งมีอาหาร 10 กว่าอย่างทั้งหมดเป็นอาหารเจ เพื่อน ๆ มาช่วยทำอาหารให้ ฉะนั้นของภายในงานล้วนเป็นการจัดเตรียมกันเองไม่ได้ไปจ้างข้างนอก ส่วนผักต่าง ๆ บางคนก็เอาผักที่ปลูกเองมาให้ บางคนก็ให้ข้าวสาร และบางคนก็ให้สบู่ที่ทำเอง ทำให้มีของขวัญมากมายที่มีความคิดสร้างสรรค์แปลกและไม่เหมือนใคร แม้กระทั่งแหวนของบ่าวสาวก็ยังเป็นวัสดุที่ทำจากธรรมชาติ อีกทั้งภรรยาของเขาก็ไม่ชอบการสวมใส่แหวนทำให้ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ที่จริงงานแต่งสำคัญที่สุดคือความสุขของบ่าวสาว และความจริงใจสัญญาที่จะรักษากันไปตลอดชีวิต
ในปี 2016 ผ่านไปพวกเขาก็มีลูกชาย 1 คน และของเล่นส่วนใหญ่ของเขาก็เป็นของเหลือใช้หรือของเล่นที่คนอื่นไม่เล่นแล้วเอามาบริจาคให้ ฉะนั้นลูกชายของเขาก็ไม่เคยมีของเล่นชิ้นใหม่ พวกเขาก็ไม่เคยเสียเงินซื้อของเล่นให้เขาเช่นกัน และของเล่นบางชิ้นก็ประดิษฐ์ขึ้นเอง ในแวบแรกที่ลูกชายเห็นของเล่นชิ้นนั้นก็ดีใจมาก ทำให้เขาคิดว่าความสุขนี้เกิดจากความสามารถของเขาทำขึ้น มันเหมือนมีส่วนร่วมในชีวิตกับคนในครอบครัว เขาและภรรยาพยายามให้ลูกชายลองทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง
เช่นไปเด็ดผักในสวนด้วยกัน เป็นต้น ฉันคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่ต้องการทำคือไม่ให้ลูกได้รับสารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้เขานำไปเปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นและทำให้ตนเองรู้สึกเหนือกว่า แต่เป็นการสอนให้ความรู้จักการต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันกับบุคคลที่แตกต่างกัน
เพราะแม้ว่าคุณจะเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก ก็ไม่แน่ว่าทุกอย่างที่มีจะดีกว่าเหนือกว่าคนอื่นหมด อย่าเอาทุกอย่างไปเปรียบเทียบกับคนอื่น มันจะทำให้คุณเจ็บปวดเสียมากกว่า และอีกอย่างเด็ก ๆ ก็จะไม่มีความสุขด้วย
ก่อนจะมามีชีวิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อแม่กังวลกลัวกินไม่อิ่ม เพื่อนไม่เข้าใจ แฟนสาวไม่เข้าใจและเลิกลากันไป แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม พ่อแม่เริ่มเข้าใจเขามากขึ้น แถมเพื่อนก็สนับสนุนมาก ที่สำคัญที่สุดคือ มีคู่ชีวิตที่เข้าใจและมีอุดมคติเหมือนกัน ลูกชายร่างเริงสดใส ทำให้มีชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีความสุข
ความสุขไม่ควรอยู่ไกลจากเรามากไป มันไม่ควรเหมือนในโฆษณาว่าต้องมี บ้าน มีรถยนต์และสิ่งต่าง ๆ มากมายถึงจะมีความสุขได้
ชมคลิป..
คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<
คุณต้องปรับความคิดของคุณและเข้าใจว่าเราสามารถตอบสนองความต้องการของเราด้วยทรัพยากรที่น้อยมาก จริง ๆ แล้วทุกคนสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้ เพียงแค่คุณเริ่มทำมันหรือยัง
ที่มา : lookforward
แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR