จากเด็กที่ดรอปเรียน "เคยติด F" จบช้ากว่าเพื่อน มาทำงานได้เงินเดือน 1 แสน สุดท้ายต้องออก
คอมเมนต์:
เป็นเรื่องราวที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก สำหรับหนุ่มผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ที่ออกมาเปิดเผยชีวิตการทำงานของตัวเอง จากเด็กที่เคยดรอปเรียน ติด F สู่อาชีพผู้จัดการเงินเดือนหลักแสนบาท ตอนอายุ 30 ปี
เจ้าของเรื่องราวนี้ได้ออกมา เผยเคล็ดลับการทำงาน สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จนำไปปรับใช้ โดยเขาได้บอกว่า เขาเรียนจบแค่ปริญญาตรี เกรดแค่ 2 กว่า มีทั้งสอบตก มีทั้งติด F และเคยดรอปเรียน จนทำให้จบช้ากว่าเพื่อนคนอื่นอีก 1 ปี
Sponsored Ad
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาเป็นคนที่ทำงาน และบ้างานมาก ชีวิตหลังเรียนจบ ก็เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางในห้าง งานเงินเดือนค่อนข้างต่ำ แต่มีค่าคอมมิชชั่นสูง เขาพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ไม่รู้อะไรก็ถาม อาสาช่วยเหลือคนอื่น พร้อมกับวิเคราะห์งานคนอื่นไปด้วย จนทำให้กลายเป็นที่รักของหัวหน้า
Sponsored Ad
บริษัทจะมีค่าภาษาต่างประเทศให้ ภาษาละ 3,000 บาท เขาก็ไปขอให้ล่ามจีนของห้างเป็นคนสอนคำศัพท์ให้วันละ 5 คำ ภาษาอังกฤษก็ฝึกเอาเอง จนสามารถพูดคุยได้ทั้งจีนและอังกฤษ และไปสอบก็ได้รับเงินมา จนมีเงินเดือนสูงถึง 32,000 บาท ตอนอายุ 28 ปีเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นก็โดนซื้อตัวไปเป็นหัวหน้าเซลล์ที่ดูแลลูกน้องกว่า 15 คน งานบางอย่างก็ทำไม่เป็น ก็ต้องให้คนอื่นสอน กลับบ้านมาก็นั่งดูยูทูปฝึกงานต่อ แถมมีประชุมทุกวัน ทำไปจะร้องไห้ไป ทั้งเครียดและกดดัน ซึ่งทำงานอยู่ที่นี่ได้แค่ปีกว่าก็ลาออกและกลับไปทำงานที่เดิม
Sponsored Ad
.
เขาย้ายกลับมาเดิมอีกครั้ง ในฐานะผู้จัดการ ที่คุมลูกน้องกว่า 30 คน โดยระบุว่า ออกไปหาประสบการณ์ที่บริษัทอื่นเพื่อพัฒนาตนเองให้พร้อมกลับมาที่นี่ ซึ่งบริษัทเดิมก็ให้เงินเดือน 60,000-80,000 บาท เลยทีเดียว
Sponsored Ad
.
การทำงานในฐานะหัวหน้าทีม ต้องมีการคิดรอบด้าน มีแผนสำรองมากกว่า 1 แผน เพราะผู้บริหารไม่ชอบคนที่ทำงานไปวัน ๆ ต้องทำงานและเอามาปรับใช้เตรียมรับมือทุกสถานการณ์ให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนแบบนี้เจ้านายจะรักมาก
Sponsored Ad
แน่นอนว่าเขายังไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ยังสอบและเรียนออนไลน์เพิ่มทุกวัน ตามที่บริษัทมีให้ เขาใส่ใจในรายละเอียดงาน ถามทุกแผนกเพื่อจะได้เข้าใจเนื้องาน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทุก ๆ คน เพื่อให้เขาสนับสนุนเรา ทำงานไปจนเงินเดือนขึ้นหลักแสนบาท
.
Sponsored Ad
แม้ว่าจะมีเงินเดือนเยอะขนาดนี้ แต่เขากลับไม่มีความสุข เขาหมดเงินไปกับสิ่งที่เรียกว่า ภาษีสังคม ได้เยอะก็ออกเยอะ ทำงานหนักจนร่างกายไม่ไหว ต้องไปตรวจร่างกาย ผลสุดท้ายหมอบอกว่า มีภาวะเครียดสะสม วิตกกังวล และรักความสมบูรณ์แบบ แม้จะยังไม่ถึงขั้นโรคซึมเศร้า แต่ก็มีโอกาสพัฒนาได้
Sponsored Ad
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจลาออกจากงานมาพักร่างกายอยู่ครึ่งปี และเริ่มธุรกิจของตัวเองด้วยการเปิดร้านขนม แม้ว่า รายได้จะไม่เท่าเดิม แต่เขาก็คิดได้แล้วว่า "เงินคือสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่มันไม่จำเป็นว่าต้องมากเกินตัว จนลืมรักตัวเอง"
ที่มา : @BasSozeng