เปิดชีวิตไม่ง่าย เจ้าพ่อรายการทอล์กโชว์ "วิทวัจน์" เผยเส้นทางโทรทัศน์กว่า 40 ปี

คอมเมนต์:

"...อาจจะเป็นเพราะว่าตาเราไม่เป็นสีฟ้า ผมไม่เป็นสีบลอนด์ ผิวเราเหลืองกว่าชาวบ้านหน่อย เหยียดผิวแล้ว ถ้าเพียงแค่เรากลับบ้านแล้วเราทำงานโดยที่ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษไม่แน่ชีวิตเราอาจจะรุ่งเรืองกว่านี้" #วิทวัจน์

    ใครๆ ก็ต้องเคยเห็นหน้าพิธีกรระดับตำนานของประเทศไทย วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ กับการเปิดเผยเส้นทางโทรทัศน์ไทยกว่า 40 ปี และจุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นเจ้าพ่อแห่งรายการทอล์กโชว์ พร้อมเปิดชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ในรายการคุยแซ่บShow Special 

    เริ่มตั้งแต่คุณอายังเป็นเด็กๆเลย คุณอาเป็นคนจังหวัดอะไรคะ ?

 

Sponsored Ad

 

    วิทวัจน์ : เป็นคนยะลา อยู่ยะลาถึงอายุ 17 ปี เกิดที่นั่น คลอดที่นั่น โตที่นั่น เรียนที่นั่นแล้วก็เรียนที่กรุงเทพฯ มศ.4 เรียนอยู่ 2 ปีกว่าๆ พอจบ มศ.4-มศ.5 ก็สอบเอนทรานซ์เลือกแบบไม่ดูเงาหัวตัวเอง เลือกจุฬาฯ ศิลปากร ชอบศิลปะ อันดับ 1 เลือกศิลปะศาสตร์ จุฬาฯ ชอบภาษา ไม่ติดซักคณะเลย พ่อเลยบอกให้ไปเรียนรามฯ แต่รู้สึกตัวเองชอบภาษาเลยอยากไปเมืองนอก แต่ที่บ้านไม่ให้ไป ไม่มีตังค์

    แล้วที่ทำยังไงถึงได้ไป ?

 

Sponsored Ad

 

    วิทวัจน์ : พี่ชายคนที่สองชื่อคุณอรรถพล เค้าก็ภาคภูมิใจจนทุกวันนี้ เค้าซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว ถ้าจะกลับให้หาซื้อตั๋วกลับมาเอง ออสเตรเลียยุคนั้นค่าเรียนฟรี เราชอบศิลปะเลยเลือกคณะศิลปะศาสตร์ เรียนอยู่ 4 ปี

    หลังจากเรียนจบกลับมาเมืองไทยมั้ย?
    วิทวัจน์ : ได้ทำงานเลย ได้งานแรกเลยที่กระทรวงศึกษาธิการของซิดนีย์ ออสเตรเลีย ทำไปได้พักนึงพอดีหนังสือพิมพ์ลงประกาศต้องการอาร์ต ไดเร็คเตอร์ให้เกมส์โชว์เด็ก เราก็หิ้วพอร์ตโฟลิโอไป

    ตอนเค้าเห็นใบสมัครเราเค้าสนใจรับเราเลยมั้ย ?

 

Sponsored Ad

 

    วิทวัจน์ : เค้าดูงานพอร์ตโฟลิโอที่ว่าคือเนื้องานของเรา ดูงานศิลปะ

    เห็นว่าทำไปทำมารายการโดนยุบ ?
    วิทวัจน์ : รายการเด็กของทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้เป็นรายการที่หาสปอนเซอร์ยาก รายการอยู่ได้ซัก 2 ปี มีลูกน้อง 2 คนที่เป็นฝรั่งก็โดนไล่ออก เค้าเก็บหน้าจีนคนนี้ไว้ เค้าให้เราย้ายไปอยู่แผนกข่าว เป็นแผนกใหญ่ขึ้นรายการเกมส์โชว์เด็กมีอาทิตย์ละครั้ง แต่แผนกข่าวมีทุกวัน แต่ไม่ได้เป็นอาร์ต ไดเร็คเตอร์แล้วเป็นกราฟฟิก ทำไตเติ้ล ออกแบบฉาก ทำอยู่ได้ประมาณ 3 ปี

    เห็นว่าผลงานคุณอาก็ดีจะโดนเลื่อนขั้นแต่ก็ไม่โดนซักทีเกิดอะไรขึ้น ?

 

Sponsored Ad

 

    วิทวัจน์ : ตอนนั้นเรารู้สึกว่าความเป็นซีเนียร์ ถ้ามีคนออกก็จะได้รับการไต่เต้าขึ้นไป แต่พอถึงเรา เราก็อายุมากที่สุดน่าจะถึงเราบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ หาคนใหม่เข้ามา เป็นอยู่อย่างนั้นซักครั้งสองครั้ง จนมีรายการนึงที่มีชื่อเสียงระดับโลกแล้วก็น่าจะถึงตาเราแล้ว แต่ก็ไม่ ข้ามเราไปอีกแล้ว ไอ้หน้าจีนคนนี้ก็นั่งรอไป มีความรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าตาเราไม่เป็นสีฟ้า ผมไม่เป็นสีบลอนด์ ผิวเราเหลืองกว่าชาวบ้านหน่อย เหยียดผิวแล้ว ถ้าเพียงแค่เรากลับบ้านแล้วเราทำงานโดยที่ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษไม่แน่ชีวิตเราอาจจะรุ่งเรืองกว่านี้

 

Sponsored Ad

 

    แต่การกลับก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะระหว่างนั้นคุณอาก็มีครอบครัว ?

    วิทวัจน์ : ใช่ ตอนนั้นมีลูกแล้วยังเล็กอยู่เลย

 

Sponsored Ad

 

    ไปเจอกับภรรยาตั้งแต่ตอนไหน ?
    วิทวัจน์ : เจอกับภรรยาตั้งแต่ตอนไปไปปีแรกเลย ตอนไปปีแรกต้องไปเรียนภาษาอังกฤษก่อน 3 เดือน ก็เจอภรรยาที่นั่น ภรรยาเป็นคนไทยด้วยกัน

    แล้วทำไมปิ๊งเลย ตอนนั้นเราเจอคนเอเชียกี่คน ?
    วิทวัจน์ : ในโรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษก็แปลว่าเป็นนักเรียนที่มาจากประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ ตอนนั้นอายุ 17 เป็นป๊อปปี้เลิฟก็คุยกันรู้เรื่องดี

    แสดงว่าเห็นแล้วรักแรกพบเลยหรือเปล่า ?
    วิทวัจน์ : อาจจะประมาณนั้น เป็นคนที่ชอบคนผมยาว

    เราเข้าไปจีบแล้วตอบรับเลยมั้ย ?
    วิทวัจน์ : คนไทยในซิดนีย์ ออสเตรเลีย ตอนนั้นไม่ได้มีเยอะ จับกลุ่มรวมกันคุยกันเองก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจน เป็นเพื่อนร่วมก๊วนกัน

Sponsored Ad

    ณ ตอนนั้นที่จะย้ายมาเมืองไทยมีลูกหรือยัง ?
    วิทวัจน์ : คนโต 3 ขวบ คนที่สอง 3 เดือน

    ก่อนจะย้ายมาเมืองไทยเห็นว่าคิดแล้วคิดอีกตั้งแต่ลูกคนที่สองยังอยู่ในท้อง ?
    วิทวัจน์ : ถูก ใช้เวลาในการตกลงกับภรรยา เค้าไม่ยอมกลับ คือวันแรกที่คุยกันเราบอกว่าไม่อยากทำแล้ว เบื่อพูดภาษาอังกฤษแล้ว อยากมาเมืองไทยพูดภาษาไทย ทำงานภาษาไทย คุยกับคนไทย มีลูกน้องคนไทย มีเจ้านายคนไทย เค้าก็ไม่เอา เวลาก็ผ่านไปเราก็ทำงานไป เงินก็ดีใช้ได้ สถานะทางสังคมก็ดี ตอนนั้นเท่นะเวลาคนถามทำงานที่ไหน เราบอกไอทำงาน แชนแนล ไนน์ อาเป็นคนเอเชียคนเดียวในจำนวนพนักงานตอนนั้นคิดว่าน่าจะซักพันคน

    ต้องใช้วิธีไหนเค้าถึงจะยอม ?
    วิทวัจน์ : อาพูดอยู่คำนึง เราตกลงกันซักระยะนึง ขอ 5 ปี ถ้าไม่เวิร์คไม่รวยขึ้นกว่านี้ ซึ่งโคตรยากเลยนั่นมันเงินดอลล่าร์แล้วเรากลับมาหาเงินบาท เลยขอ 5 ปีถ้าไม่รอดก็กลับ

    หลังจากออกจากงานแรกมาถึงเมืองไทยเล็งอะไรเป็นงานต่อไป ?
    วิทวัจน์ : นั่งอยู่บ้านแล้วก็ดูทีวี เห็นมีผู้ชายผมหยิกๆคนนึงนั่งอ่านข่าว เค้าจะทำแบบที่เราเคยทำตอนอยู่ออสเตรเลีย คนนั้นชื่อ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อ่านข่าวช่อง9 อสมท ยังมีไอ้นี่ต้องทำ ไอ้นี่ก็ยังต้องเปลี่ยน ฉากตรงนี้ก็ไม่ค่อยดี เรารู้เลยว่าเค้าต้องการทำอะไรและกำลังจะไปสู่จุดไหน มันเป็นการเสนอข่าวแบบฝรั่งแนว CNN

    แล้วคุณอาทำยังไง ?
    วิทวัจน์ : เดินเข้าไปเลย สวัสดีครับอาจารย์ครับ ผมมาสมัครงานครับ สมัครอะไรฉันไม่ได้ประกาศ ไปดักแกเพราะเรารู้ว่ามันเป็นการเสนอข่าวสด ไปเซอร์เวย์ก่อนเดินเข้าไปดูห้องข่าว ห้องอาจารย์อยู่นี่ กะเวลาเลิกรายการกว่าจะเก็บสคริปต์ถอดไมค์น่าไม่เกิน 5 นาที แกก็เดินมาจะขึ้นรถ ก็เข้าไปสวัสดีบอกว่าผมมาสมัครงาน ผมมาจากออสเตรเลีย ผมทำงานที่ฝ่ายข่าวที่ Channel 9 ของออสเตรเลีย ผมมานำเสนอในสิ่งที่อาจารย์ขาดอยู่ ก็ยืนคุยกันอาจารย์ก็บอกว่าเดี๋ยวนัดคุยกัน หลังจากนั้นพอนัดกันก็เปิดงานให้เค้าดูก็คืองานทีวีข่าว ไม่รับก็แย่แล้ว

    ก็ได้ทำงานที่นี่เลย นานมั้ยคุณอา ?
    วิทวัจน์ : ใช่ ก็ออกแบบฉาก ออกแบบไตเติ้ลใหม่ ข่าว 9 อสมท ที่เป็นเลข 9 หมุนๆ อันนั้นอาเป็นคนทำออกแบบคอนเซ็ปต์ ออกแบบโต๊ะ ก็ทำอยู่ประมาณปีนึง อาจารย์สมเกียรติเป็นผู้ปฎิวัติวงการข่าวของประเทศไทยเป็นประวัติศาสตร์เลย เราก็ไปทำเบื้องหลังนั่นแหละ

    แต่ก็มีสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่พลิกวงการพยากรณ์อากาศ นั่นก็คือคุณอา ทำไมถึงได้ไปทำงานวงการพยากรณ์อากาศ เห็นบอกว่าเป็นคนแรกด้วย ?
    วิทวัจน์ : ทำไปได้ปีนึง หลังจากนั้นก็มีกราฟฟิกรายวัน คือเวลาคนไม่เปิดเสียงก็จะเห็นตัวหนังสือ แต่ข่าวพยากรณ์อากาศอาทำอยู่ตอนอยู่ออสเตรเลีย ทำมาหมดรู้หมดแล้ว เลยถามอาจารย์ว่าทำไมอาจารย์ไม่หาคนมาอ่านข่าวพยากรณ์อากาศ ผมเสนอเป็นคอนเซ็ปต์ให้เอามั้ย ผมวาดเป็นสตอรี่บอร์ดให้ ถ้าเราดู CNN ทุกวันนี้มันก็เป็นแบบนี้ อาจารย์ดูแล้วก็บอกว่าใช้ได้ คอนเซ็ปต์นี้โอเค เอาเลยเอาแบบนี้

    เอาสตอรี่บอร์ดเราแล้ว แล้วคนอ่านล่ะคะ ?
    วิทวัจน์ : บอกอาจารย์ว่าคอนเซ็ปต์อันนี้ผมทำให้ได้ไม่มีปัญหา ฉากหลังเดี๋ยวผมออกแบบให้ แต่อาจารย์จะเอาใครมาอ่าน อาจารย์เค้าก็บอกว่าใครจะไปรู้ว่าต้องทำยังไงนอกจากคุณ คุณนั่นแหละอ่าน

    พออาจารย์บอกอย่างนี้ คุณอาว่ายังไง ?
    วิทวัจน์ : ผมรู้วิชาภูมิศาสตร์ตอนอยู่ ม.ต้น แรงลม เรื่องของเมฆ เรื่องของลมบก ลมทะเล ความกดอากาศ อาจารย์บอกไม่รู้ก็ไปเรียนที่กรมอุตุฯ อาจารย์ยกหูกริ๊งเดียวคงพูดประมาณว่าเราต้องการส่งคนไปเรียนเพื่อการนำเสนอข่าวพยากรณ์อากาศให้ดูดีขึ้นเราอยากใช้คนของเรา สมัยก่อนจะใช้เจ้าหน้าที่จากกรมอุติวิทยาเป็นผู้นำเสนอข่าว แล้วก็ไม่มีอะไรมากมายเกินไปกว่า พระอาทิตย์ขึ้นกี่โมงตกกี่โมง น้ำทะเลขึ้นสูงสุด

    แล้วสไตล์ของคุณอาคืออะไร ?
    วิทวัจน์ : ก็มีความรู้มาพอที่จะนำเสนอได้ เป็นรายการสดตื่นเต้นมากเพราะเราอยู่เบื้องหลังมาตลอด

    แล้ววันนั้นคุณอาตายไมค์มั้ยคะ ?
    วิทวัจน์ : ตาย จะรอดหรอ มันไม่เดดแอร์แต่พูดผิด พูดผิดแล้วก็แก้ แก้แล้วก็ขออภัยครับ หลังๆมีคนบอกว่าถ้าพูดผิดไม่ต้องขออภัยเผื่อเค้าไม่รู้ ข้ามไปเลยแล้วพูดใหม่     แต่คนชอบเพราะเป็นเรื่องใหม่ รายการ 2 นาทีกว่าเองตอนจบก็มีตบมุกหน่อย ช่วงนี้ความกดอากาศสูง ไม่ทราบว่าความกดอากาศหรือความดันอาจารย์สมเกียรติไม่ทราบวันนี้สูงหรือต่ำครับ เชิญครับ ส่งไปแบบนี้ คนดูชอบ

    จากสายข่าวพยากรณ์อากาศแล้วกลายมาเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการทอล์กโชว์ได้ยังไง ?
    วิทวัจน์ : ทำรายการพยากรณ์อากาศอยู่สองปีก็ต้องมีมุกอย่างที่ว่าพวกนี้ ผมไปบอกอาจารย์ว่าผมหมดมุกแล้ว เพราะทำ 7 วันต่ออาทิตย์ 365 วันต่อปี อาจารย์เค้าก็ไม่มีปัญหา คุยไปคุยมาก็ถามอาจารย์ว่าเรามาทำทอล์กโชว์กันมั้ย

    ตอนนั้นเมืองไทยมีหรือยัง ?
    วิทวัจน์ : ไม่มี ตอนนั้นในเมืองไทยยังไม่มี ในอเมริกามีชื่อทูไนท์ โชว์ พิธีกรชื่อจอห์นนี่ คาร์สัน เป็นตำนานของวาไรตี้ ทอล์กโชว์แบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ เลยบอกอาจารย์ทำแบบนี้มั้ย ผมไม่อยากทำพยากรณ์กาศแล้ว หาคนมาแทนดีมั้ย คนที่มาแทนคือ คุณจิ๊ อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ

    เริ่มแรกของวาไรตี้ทอล์กโชว์คือรายการ ?
    วิทวัจน์ : คืนนี้ที่ช่อง 9 เราเป็นโปรดิวเซอร์ ออกแบบเหมดเลย เป็นรายการสัมภาษณ์ดาราสมัยก่อนไม่มีใครออกมาสัมภาษณ์แบบนี้เลย มีแต่สัมภาษณ์ทางนิตยสาร ดิฉัน ขวัญเรือน แต่ในทีวีไม่มี รายการคืนนี้ที่ช่อง 9 เป็นวาไรตี้ที่มีเพลงให้ฟัง 1 เพลง มีโชว์ใดๆ แต่ไข่แดงของมันคือการสัมภาษณ์ตอนนั้นเราได้อดีตนายกรัฐมนตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแขกรับเชิญ

    ตอนนั้นหม่อมคึกฤทธิ์เพิ่งจะผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจ เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เราก็ไปเรียนเชิญถึงบ้านเลย อาเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ข้างบนเลยบอกอาจารย์ว่าขอฟังเสียงหัวใจของหม่อมคึกฤทธิ์ได้มั้ย อาจารย์ก็บอกจะบ้าหรอ อาจารย์เอาจริงถามว่า คุณชายผ่าตัดหัวใจมาแล้ว หัวใจเต้นดีมั้ยครับ ขอฟังเสียงเต้นหัวใจหน่อยครับ แต่เราไม่รู้ว่าจะฟังยังไงในที่สุดไม่มีวิธีอื่นเลยใช้ไวเลสไปแนบกับหัวใจ หม่อมคึกฤทธิ์ถามว่ามัยจะได้ยินหรอ ท่านก็เลยถอดเสื้อ แต่ก็ยังเหลือเสื้อกล้ามนะ เพื่อจะเอาไมค์ไปแนบกับเนื้อแกได้

    ตอนนั้นยิ่งใหญ่มากในความรู้สึกของเรา นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เราก็สัมภาษณ์ ตั๊ก มยุรา ก็ได้รู้เรื่องราวตลกๆของตั๊ก และดารานีกร้องอื่นๆหลายคน ตอนนั้นเราบันทึกเทปอาทิตย์ละครั้ง จนทำเทปที่ 5 อาจารย์บอกว่ามีอะไรจะคุยด้วย บอกว่าผมจะลาออก คือแกลาออกก่อน ก่อนที่จะบอก ทุก 7 วันจะหาแขกยังยากเลยนี่ต้องหาพิธีกร มีเวลา 6 วันหาพิธีกร เราติดต่อไปหลายคนปฎิเสธหมดทุกคน

    จนวันที่ 6 ทุกคนในที่ประชุมบอกคุณนั่นแหละ พูดทำนองที่ ดร.สมเกียรติ เคยพูดว่าก็ใครจะไปรู้ดีกว่าคุณล่ะ คุณสร้างรายการนี้ขึ้นมา แล้วก็เคยออกทีวีแล้ว เคยตายไมค์มาแล้วคงเคยชินกับความล้มเหลวมาบ้างแล้ว แต่ก็ลำบากมากแม้ว่าจะเป็นรายการบันทึกเทปแต่ก็ตื่นเต้น ถ้าพลาดเราตกเหว ถ้าตกเหวเราตาย แต่ตัดต่อได้ ใจชื้นมาหน่อย นั่นคือจุดเริ่มต้นในการเป็นพิธีกร แล้วก็ทำรายการนี้มาประมาณปีครึ่งถึงสองปี

ที่มา : amarintv

บทความที่คุณอาจสนใจ